เรื่องเล่า Outreach Week in Napier
เรื่องแรก ชื่อ แม่มารีแอนนีที่แสนดี
เป็นครั้งแรกในรอบแปดเดือนที่ผมได้รับการนวดจาก แม่ มารีแอนนี ผมเรียกเขาว่า แม่ และเป็นแม่คนที่สามแล้วที่ผมเรียก ต่อจากแม่คนแรกที่ให้กำเนิดผมและแม่อีกคนที่ผมเรียกที่สิงค์โปร์ มารีแอนนีเป็นห่วงผมมาก เพราะวัฒนธรรมของเราค่อยข้างจะคล้ายๆกัน แม่มารีแอนนี พึ่งจะฉลองอายุ 61 ปีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง (23 sep)พอดีว่า ผมนอนไม่ถูกท่า หรือเปล่า ตื่นเช้าขึ้นมาหัวไหล่ด้านขวาของผมระบมไปหมด แม่มารีแอนนี เห็นผมแสดงอาการ แกก็เดินเข้ามาถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากการถามของเขา ผมรู้สึกซาบซึ้งและ ปลาบปลื้มยินดีมาก แกบอกว่า แกจะนวดให้ และแกก็นวดให้ผม ตั้งสองครั้งแน่ะ นวดรวมไปถึงหลังที่ปวดของผมด้วย
Angar พูดถึงเด็กคนนี้บ้างดีกว่า เจอเขาครั้งแรก เป็นเด็กที่ไม่อายที่จะทักคนแปลกหน้าเลย ผมชอบนะ เขาเดินเข้ามาจับมือผม แล้ววันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กคนนี้ เขาถามว่าผมมาจากประเทศไหน ผมก็บอกว่า เมืองไทย เขาก็พูดว่า สวัสดีครับ ทำเอาผมงง เด็กอายุ 9 ขวบ พูด สวัสดี ได้ อ่ะ ผมถามว่าไปรู้มาจากไหน เขาก็บอกว่าเขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทักทาย และสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งประทับใจก็คือ การที่ เขา เขียนรูปภาพให้ ถึงแม้มันจะไม่สวย ถึงแม้มันจะไม่มีค่าอะไร แต่มันมีความหมายสำหรับผมนะ ผมเห็นรอยยิ้ม เห็นความจริงใจของเด็กคนนี้ เขาเห็นกล้องถ่ายรูปผม ก็อยากลองหัดถ่าย ดูเหมือนเขาชอบเอามากๆๆ ผมไม่รังเกียจเลยที่เขาจะใช้กล้องหัดถ่ายรูป แต่ก็แค่กลัวเขาทำหล่น ผมสอนเขาเล่นกีต้าร์ สอนเขาถ่ายรูป อืม เด็กคนนี้เรียนรู้ได้เร็วมากๆๆ ผมรู้สึกว่าเขาจะติดผมแล้วสิ ไปไหนเขาจะตามผมเป็นเงาตามตัวเลย
อีกสิ่งที่น่าประทับใจก็คือ เขาช่วยงานทุกอย่าง แม้กระทั่งงานทาสี มีอยู่วันหนึ่ง เรากำลังจะทาสีกัน เขาก็หยิบอุปกรณ์เตรียมที่จะทาเต็มที่แต่ว่า บรูซ (ผู้ปกครองที่โบสถ์) ก็บอกว่าอย่า พึ่ง เพราะเดี๋ยวสีจะตก งานนี้ไม่ใช่งานของเด็ก สิ่งที่บรูซพูดนั้นมีเหตุผลทุกอย่าง เพราะสีที่เราทาไม่เหมือนสีเมื่อวันก่อน มันเป็นสีที่มีน้ำผสมเยอะ ถ้าไม่ระวัง สีก็จะตกใส่พรมได้ง่าย ยิ่งเป็นเด็กด้วย ยิ่งตกกง่ายขึ้นอีก แต่ว่า Angar ก็ไม่พอใจ โมโห วิ่งออกไปจากโบสถ์ ทำหน้าบึ้ง เดินกลับเข้ามา และก็ไม่ช่วยอะไรสักอย่าง สักพัก บรูซ เห็น Angar และก็พูดว่า "Do youwanna talk about it?" Angar ก็ไม่อยากคุยด้วย เดินหนี แต่พอเวลากินข้าวเที่ยง ผมนั่งข้างๆ บรูซ แองก้า เดินเข้าพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยลายมือของ แองก้า บอกว่า ผมเข้าใจแล้วว่า ผมไม่สามารถทำงานทาสีได้ เพราะมันเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ผมรู้ตัวว่าผมไม่ควรทำแบบนี้กับ คุณ ผมขอโทษ ผมแทบน้ำตาไหล เพราะบรูซอ่านออกเสียง ซึ่งผมก็พอจับใจความได้ และสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ เด็กคนนี้ ยื่นมือ ออกมา ขอจับมือกับ บรูซ มันเป็นสัญลักษณ์ของความกล้า ความเป็นลูกผู้ชายที่รู้ตัวว่า ผิด แล้วยอมรับผิด ผมนะ อายตัวเองที่บางที ผมแทบไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนที่ผมรู้ตัวว่าผมทำผิดด้วย เด็กอายุ 9 ขวบเป็นตัวอย่างให้กับผม เป็นตัวอย่างแห่งความกล้า กล้าที่จะเผชิญกับความจริง ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กคนนี้ ขอให้เขามีความเชื่อในพระองค์ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไปแต่ใจของเด็กคนนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพระองค์ อาเมน
มาถึงเรื่องสุดท้ายที่อ่านแล้ว อาจจะงงหน่อย เพราะแต่ละวันมันไม่เหมือนกันเลย แต่ผมก็บันทึกไว้ว่าในแต่ละวันผมทำอะไรบ้าง เอาเป็นว่าก็ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกก็หนักใจอยู่ว่าจะเขียนเรื่องนี้ลง Shepherd Boy ดีไหม แต่คิดไปคิดมา ไม่เขียนเดี๋ยวก็ลืมอีก ผมเป็นคนที่ลืมอะไรง่ายๆด้วยสิ เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจละกัน ผู้หญิงคนนี้ชื่อ Smokey เป็นนักศึกษา AIM จากอเมริกา เรียนพระคัมภีร์ ที่ Sunset Preaching School Texas 8 เดือนก่อนมาประจำการ ทำงานที่ เนเปียร์ เป็นเวลา หนึ่งปี เจอเขาครั้งแรกที่ ทารังก้านี่แหล่ะ เขามาเยี่ยมโรงเรียนผม แล้วก็ไปเจออีกก็คราวที่ไป outreach week นี่แหล่ะ นักศึกษา AIM เขามีกฎว่า ห้าม นักศึกษา AIM ทุกคนออกเดทระหว่างทำงาน หรือ อยู่ในช่วง Mission กฎนี้อีกล่ะ ผมละไม่ชอบกฎบ้าบอคอแตกนี้เอาซะเลยย เฮ้อออ
คืนวันพฤหัสผมไปดูหนังที่โบสถ์กับ แดน กับ เอมี่ และ Aim teams จุดประสงค์ก็ไม่ตั้งใจไปดูหนังหรอก อยากไปนั่งคุยกับสโม้กกี้นะ แต่ไม่มีเวลาได้คุยเลย ระหว่างรอดูหนังนั่นเอง ผมก็เห็นสโม้กกี้ ฝึกเต้นรำ กับ ราชอน ผมก็พูดดังๆเผื่อให้เขาได้ยินว่า ตกลงงานProm night ผมต้องเต้นด้วยเหรอ เขาก็บอกว่า ใช่ แต่ผมเต้นอะไรไม่เป็นเลยนี่นา จริงๆแล้วมันเป็นแผนของผมนะ เผื่อว่าเขาจะสอนเราเต้นบ้าง แต่....ได้ผลแฮะ สโม้กกี้ก็รวบรวมความกล้าอยู่นาน เท่าที่ผมสังเกตุนะ หรือว่าผมคิดไปเองก็ไม่รู้ เขาถามว่า Do you know how to Waltz?"I don't know how" "Do you wanna try?" "(Absolutely) Yes"บอกได้คำเดียวว่าเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้แบบประชิดตัวเขาแบบนี้ ผมได้แต่ก้มหน้ามองดูเท้าตัวเองเผื่อไปเหยี่ยบเท้าเขา ไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ทั้งๆที่เขาจ้องหน้าเราตลอด เป็นสัญญาณของการเป็นผู้นำที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เวลาเจอผู้หญิงที่เราชอบทีไร มักประหม่า และเป็นแบบนี้ทุกที อย่างนี้จะเรียกว่า Mc Daddy ได้ไงอ่าเต้นหลายเพลงมาก ดูเขามีความสุขนะที่ได้สอนผม แต่ก็ไม่รู้สิว่าเขาคิดอย่างไร
วันนี้ วันศุกร์ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วละ หลังจากทำงานหนักมาหลายวัน แต่ว่าคิดว่าวันนี้ก็คงเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของผม เราฝึกร้องเพลงในตอนเช้า จากนั้นก็กินข้าวเที่ยงกัน จังหวะนี้แหล่ะ ที่ผมถือโอกาสเข้าไปนั่งกับไป สโม้กกี้ เรียกว่ารวบรวมความกล้าอยู่หลายวัน ตอนแรกก็คุยกันเรื่อง แทตทูแต่ก็คุยกันหลายเรื่องนะ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเป็นคนที่เปิดตัวเองเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ถามเขาก็จะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมว่าผู้หญิงคนนี้ คงมีเรื่องราวที่น่าสนใจเยอะแยะ อืมมม ชักอยากรู้จักให้มากกว่านี้ซะแล้วสิ หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเข้าไปในเมืองเพื่อไปร้องเพลงกันผม เดินช้ากว่าคนอื่น ดังนั้น ผมจะเดินตามหลังสุด และที่ทำให้ผมยิ้มออกก็คือ สโม้กกี้ หยุดรอผมและ ควงแขนผม เดินตามกันไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของความมั่นใจที่ทำให้ผมสามารถเข้าไปคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น เราร้องเพลงเสร็จ ผมก็ชวนเขาไปกินกาแฟเป็นร้านกาแฟโปรดผมด้วย บักส์ นั่นเอง หลังจากนั้นเรากลับไปที่โบสถ์ ส่วนหนึ่งต้องไปย้ายบ้านของสมาชิกที่โบสถ์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ตกแต่งที่โบสถ์ ให้พร้อมสำหรับงาน Poor Mans Prom Nightสโม้กกี้ชวนผมให้อยู่ช่วยเขา ผู้หญิงคนนี้เก่งมากในเรื่องของการตกแต่ง และที่สำคัญ เขาทำอาหารเก่งด้วยย ผมสังเกตุเอานะ แล้วผมก็ถามเขาว่าทำอาหารเป็นไหม เขาบอกว่า เป็นทุกอย่างเพราะแม่เขาสอนให้เขาที่จะต้องเป็นภรรยาที่ดีในอนาคต อืมมมม อยากได้ภรรยาแบบนี้จัง อิอิผมเดินไปส่งเขาที่บ้านเพื่อไปเอาส่วนประกอบที่จะทำ น้ำพันซ์ ซึ่งเขาก็สอนผมทำด้วย น่ารักจัง
และแล้ว การเดินทาง 1 อาทิตย์ของผมกับ เมืองเนเปียร์ ก็สิ้นสุดลงด้วย หัวใจที่บอบช้ำนิดๆ วันเสาร์เราไปเที่ยวตามจุดชมวิวต่างๆของเมืองเนเปียร์ เรียกได้ว่าสวยไช้ได้ทีเดียวแต่ที่ผมชอบที่สุดก็คือการได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับ สโม้กกี้ แบบหวานๆๆด้วยเหมือนกัน เป็นภาพที่น่าประทับใจเอามากๆ แต่ก็อย่างว่าอะนะ ผมชอบใครแล้วมักจะมีมารมาขัดขวางอยู่เรื่อยมันก็เลยแห้วซะทุกทีอะ กลางคืนก็ไปงาน Poor Mans Prom Night ก็สนุกดีนะ เห็นสโม้กกี้เต้นแล้ว รู้สึกประทับใจ เต้นเก่งดี แต่ก็ไม่มีอะไรมาก ไอ้คำพูดที่เตรียมมาว่าจะพูดกับเขาก็ไม่ได้พูด เพราะแทบจะไม่ได้เต้นกับเขา ก็เรามันไม่กล้านี่นาทำไงได้ล่ะ จะไปขอเต้นก็แทบจะไม่กล้า เซ้งงงง ตัวเองจริงๆๆๆๆ
Sometimes Love makes us do stupid things จริงๆนะ ผมยอมรับ เวลาที่มีความรัก ประมาณว่า fall in loveบางทีมักจะทำให้เราทำสิ่งที่งี่เง่า และไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย คุณว่าไหม หลายครั้งที่ผมเจอคนที่ผมชอบตัวผมมักจะสั่น ปากพูดไม่ออก ใจอยากพูด แต่ก็ไม่กล้า หรือไม่ ก็มักจะทำอะไรเปิ่นๆที่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่ในสายตาของเขาเอาซะเลย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ได้เจอใครที่ชอบจริงๆ อาการเหล่านี้มักไม่เคยเกิดกับเราเลบเป็นเพราะอะไรหว่า