Wednesday, October 10, 2007

เรื่องเล่า Outreach Week in Napier

เป็นเรื่องราวสั้นๆที่น่าประทับใจที่อยากจะเอามาแบ่งปันให้กับเพื่อนได้อ่านกัน และที่สำคัญก็สำหรับผมด้วยที่จะไม่ลืมเรื่องดีดีเหล่านี้ แต่ก็สามารถกลับมาอ่านได้เสมอ
เรื่องแรก ชื่อ แม่มารีแอนนีที่แสนดี


เป็นครั้งแรกในรอบแปดเดือนที่ผมได้รับการนวดจาก แม่ มารีแอนนี ผมเรียกเขาว่า แม่ และเป็นแม่คนที่สามแล้วที่ผมเรียก ต่อจากแม่คนแรกที่ให้กำเนิดผมและแม่อีกคนที่ผมเรียกที่สิงค์โปร์ มารีแอนนีเป็นห่วงผมมาก เพราะวัฒนธรรมของเราค่อยข้างจะคล้ายๆกัน แม่มารีแอนนี พึ่งจะฉลองอายุ 61 ปีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง (23 sep)พอดีว่า ผมนอนไม่ถูกท่า หรือเปล่า ตื่นเช้าขึ้นมาหัวไหล่ด้านขวาของผมระบมไปหมด แม่มารีแอนนี เห็นผมแสดงอาการ แกก็เดินเข้ามาถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากการถามของเขา ผมรู้สึกซาบซึ้งและ ปลาบปลื้มยินดีมาก แกบอกว่า แกจะนวดให้ และแกก็นวดให้ผม ตั้งสองครั้งแน่ะ นวดรวมไปถึงหลังที่ปวดของผมด้วย

Angar พูดถึงเด็กคนนี้บ้างดีกว่า เจอเขาครั้งแรก เป็นเด็กที่ไม่อายที่จะทักคนแปลกหน้าเลย ผมชอบนะ เขาเดินเข้ามาจับมือผม แล้ววันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กคนนี้ เขาถามว่าผมมาจากประเทศไหน ผมก็บอกว่า เมืองไทย เขาก็พูดว่า สวัสดีครับ ทำเอาผมงง เด็กอายุ 9 ขวบ พูด สวัสดี ได้ อ่ะ ผมถามว่าไปรู้มาจากไหน เขาก็บอกว่าเขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทักทาย และสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งประทับใจก็คือ การที่ เขา เขียนรูปภาพให้ ถึงแม้มันจะไม่สวย ถึงแม้มันจะไม่มีค่าอะไร แต่มันมีความหมายสำหรับผมนะ ผมเห็นรอยยิ้ม เห็นความจริงใจของเด็กคนนี้ เขาเห็นกล้องถ่ายรูปผม ก็อยากลองหัดถ่าย ดูเหมือนเขาชอบเอามากๆๆ ผมไม่รังเกียจเลยที่เขาจะใช้กล้องหัดถ่ายรูป แต่ก็แค่กลัวเขาทำหล่น ผมสอนเขาเล่นกีต้าร์ สอนเขาถ่ายรูป อืม เด็กคนนี้เรียนรู้ได้เร็วมากๆๆ ผมรู้สึกว่าเขาจะติดผมแล้วสิ ไปไหนเขาจะตามผมเป็นเงาตามตัวเลย

อีกสิ่งที่น่าประทับใจก็คือ เขาช่วยงานทุกอย่าง แม้กระทั่งงานทาสี มีอยู่วันหนึ่ง เรากำลังจะทาสีกัน เขาก็หยิบอุปกรณ์เตรียมที่จะทาเต็มที่แต่ว่า บรูซ (ผู้ปกครองที่โบสถ์) ก็บอกว่าอย่า พึ่ง เพราะเดี๋ยวสีจะตก งานนี้ไม่ใช่งานของเด็ก สิ่งที่บรูซพูดนั้นมีเหตุผลทุกอย่าง เพราะสีที่เราทาไม่เหมือนสีเมื่อวันก่อน มันเป็นสีที่มีน้ำผสมเยอะ ถ้าไม่ระวัง สีก็จะตกใส่พรมได้ง่าย ยิ่งเป็นเด็กด้วย ยิ่งตกกง่ายขึ้นอีก แต่ว่า Angar ก็ไม่พอใจ โมโห วิ่งออกไปจากโบสถ์ ทำหน้าบึ้ง เดินกลับเข้ามา และก็ไม่ช่วยอะไรสักอย่าง สักพัก บรูซ เห็น Angar และก็พูดว่า "Do youwanna talk about it?" Angar ก็ไม่อยากคุยด้วย เดินหนี แต่พอเวลากินข้าวเที่ยง ผมนั่งข้างๆ บรูซ แองก้า เดินเข้าพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยลายมือของ แองก้า บอกว่า ผมเข้าใจแล้วว่า ผมไม่สามารถทำงานทาสีได้ เพราะมันเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ผมรู้ตัวว่าผมไม่ควรทำแบบนี้กับ คุณ ผมขอโทษ ผมแทบน้ำตาไหล เพราะบรูซอ่านออกเสียง ซึ่งผมก็พอจับใจความได้ และสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือ เด็กคนนี้ ยื่นมือ ออกมา ขอจับมือกับ บรูซ มันเป็นสัญลักษณ์ของความกล้า ความเป็นลูกผู้ชายที่รู้ตัวว่า ผิด แล้วยอมรับผิด ผมนะ อายตัวเองที่บางที ผมแทบไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนที่ผมรู้ตัวว่าผมทำผิดด้วย เด็กอายุ 9 ขวบเป็นตัวอย่างให้กับผม เป็นตัวอย่างแห่งความกล้า กล้าที่จะเผชิญกับความจริง ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กคนนี้ ขอให้เขามีความเชื่อในพระองค์ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไปแต่ใจของเด็กคนนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพระองค์ อาเมน



มาถึงเรื่องสุดท้ายที่อ่านแล้ว อาจจะงงหน่อย เพราะแต่ละวันมันไม่เหมือนกันเลย แต่ผมก็บันทึกไว้ว่าในแต่ละวันผมทำอะไรบ้าง เอาเป็นว่าก็ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกก็หนักใจอยู่ว่าจะเขียนเรื่องนี้ลง Shepherd Boy ดีไหม แต่คิดไปคิดมา ไม่เขียนเดี๋ยวก็ลืมอีก ผมเป็นคนที่ลืมอะไรง่ายๆด้วยสิ เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจละกัน ผู้หญิงคนนี้ชื่อ Smokey เป็นนักศึกษา AIM จากอเมริกา เรียนพระคัมภีร์ ที่ Sunset Preaching School Texas 8 เดือนก่อนมาประจำการ ทำงานที่ เนเปียร์ เป็นเวลา หนึ่งปี เจอเขาครั้งแรกที่ ทารังก้านี่แหล่ะ เขามาเยี่ยมโรงเรียนผม แล้วก็ไปเจออีกก็คราวที่ไป outreach week นี่แหล่ะ นักศึกษา AIM เขามีกฎว่า ห้าม นักศึกษา AIM ทุกคนออกเดทระหว่างทำงาน หรือ อยู่ในช่วง Mission กฎนี้อีกล่ะ ผมละไม่ชอบกฎบ้าบอคอแตกนี้เอาซะเลยย เฮ้อออ

คืนวันพฤหัสผมไปดูหนังที่โบสถ์กับ แดน กับ เอมี่ และ Aim teams จุดประสงค์ก็ไม่ตั้งใจไปดูหนังหรอก อยากไปนั่งคุยกับสโม้กกี้นะ แต่ไม่มีเวลาได้คุยเลย ระหว่างรอดูหนังนั่นเอง ผมก็เห็นสโม้กกี้ ฝึกเต้นรำ กับ ราชอน ผมก็พูดดังๆเผื่อให้เขาได้ยินว่า ตกลงงานProm night ผมต้องเต้นด้วยเหรอ เขาก็บอกว่า ใช่ แต่ผมเต้นอะไรไม่เป็นเลยนี่นา จริงๆแล้วมันเป็นแผนของผมนะ เผื่อว่าเขาจะสอนเราเต้นบ้าง แต่....ได้ผลแฮะ สโม้กกี้ก็รวบรวมความกล้าอยู่นาน เท่าที่ผมสังเกตุนะ หรือว่าผมคิดไปเองก็ไม่รู้ เขาถามว่า Do you know how to Waltz?"I don't know how" "Do you wanna try?" "(Absolutely) Yes"บอกได้คำเดียวว่าเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้แบบประชิดตัวเขาแบบนี้ ผมได้แต่ก้มหน้ามองดูเท้าตัวเองเผื่อไปเหยี่ยบเท้าเขา ไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ทั้งๆที่เขาจ้องหน้าเราตลอด เป็นสัญญาณของการเป็นผู้นำที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เวลาเจอผู้หญิงที่เราชอบทีไร มักประหม่า และเป็นแบบนี้ทุกที อย่างนี้จะเรียกว่า Mc Daddy ได้ไงอ่าเต้นหลายเพลงมาก ดูเขามีความสุขนะที่ได้สอนผม แต่ก็ไม่รู้สิว่าเขาคิดอย่างไร

วันนี้ วันศุกร์ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วละ หลังจากทำงานหนักมาหลายวัน แต่ว่าคิดว่าวันนี้ก็คงเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของผม เราฝึกร้องเพลงในตอนเช้า จากนั้นก็กินข้าวเที่ยงกัน จังหวะนี้แหล่ะ ที่ผมถือโอกาสเข้าไปนั่งกับไป สโม้กกี้ เรียกว่ารวบรวมความกล้าอยู่หลายวัน ตอนแรกก็คุยกันเรื่อง แทตทูแต่ก็คุยกันหลายเรื่องนะ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเป็นคนที่เปิดตัวเองเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ถามเขาก็จะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมว่าผู้หญิงคนนี้ คงมีเรื่องราวที่น่าสนใจเยอะแยะ อืมมม ชักอยากรู้จักให้มากกว่านี้ซะแล้วสิ หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเข้าไปในเมืองเพื่อไปร้องเพลงกันผม เดินช้ากว่าคนอื่น ดังนั้น ผมจะเดินตามหลังสุด และที่ทำให้ผมยิ้มออกก็คือ สโม้กกี้ หยุดรอผมและ ควงแขนผม เดินตามกันไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของความมั่นใจที่ทำให้ผมสามารถเข้าไปคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น เราร้องเพลงเสร็จ ผมก็ชวนเขาไปกินกาแฟเป็นร้านกาแฟโปรดผมด้วย บักส์ นั่นเอง หลังจากนั้นเรากลับไปที่โบสถ์ ส่วนหนึ่งต้องไปย้ายบ้านของสมาชิกที่โบสถ์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ตกแต่งที่โบสถ์ ให้พร้อมสำหรับงาน Poor Mans Prom Nightสโม้กกี้ชวนผมให้อยู่ช่วยเขา ผู้หญิงคนนี้เก่งมากในเรื่องของการตกแต่ง และที่สำคัญ เขาทำอาหารเก่งด้วยย ผมสังเกตุเอานะ แล้วผมก็ถามเขาว่าทำอาหารเป็นไหม เขาบอกว่า เป็นทุกอย่างเพราะแม่เขาสอนให้เขาที่จะต้องเป็นภรรยาที่ดีในอนาคต อืมมมม อยากได้ภรรยาแบบนี้จัง อิอิผมเดินไปส่งเขาที่บ้านเพื่อไปเอาส่วนประกอบที่จะทำ น้ำพันซ์ ซึ่งเขาก็สอนผมทำด้วย น่ารักจัง

และแล้ว การเดินทาง 1 อาทิตย์ของผมกับ เมืองเนเปียร์ ก็สิ้นสุดลงด้วย หัวใจที่บอบช้ำนิดๆ วันเสาร์เราไปเที่ยวตามจุดชมวิวต่างๆของเมืองเนเปียร์ เรียกได้ว่าสวยไช้ได้ทีเดียวแต่ที่ผมชอบที่สุดก็คือการได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับ สโม้กกี้ แบบหวานๆๆด้วยเหมือนกัน เป็นภาพที่น่าประทับใจเอามากๆ แต่ก็อย่างว่าอะนะ ผมชอบใครแล้วมักจะมีมารมาขัดขวางอยู่เรื่อยมันก็เลยแห้วซะทุกทีอะ กลางคืนก็ไปงาน Poor Mans Prom Night ก็สนุกดีนะ เห็นสโม้กกี้เต้นแล้ว รู้สึกประทับใจ เต้นเก่งดี แต่ก็ไม่มีอะไรมาก ไอ้คำพูดที่เตรียมมาว่าจะพูดกับเขาก็ไม่ได้พูด เพราะแทบจะไม่ได้เต้นกับเขา ก็เรามันไม่กล้านี่นาทำไงได้ล่ะ จะไปขอเต้นก็แทบจะไม่กล้า เซ้งงงง ตัวเองจริงๆๆๆๆ

Sometimes Love makes us do stupid things จริงๆนะ ผมยอมรับ เวลาที่มีความรัก ประมาณว่า fall in loveบางทีมักจะทำให้เราทำสิ่งที่งี่เง่า และไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย คุณว่าไหม หลายครั้งที่ผมเจอคนที่ผมชอบตัวผมมักจะสั่น ปากพูดไม่ออก ใจอยากพูด แต่ก็ไม่กล้า หรือไม่ ก็มักจะทำอะไรเปิ่นๆที่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่ในสายตาของเขาเอาซะเลย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ได้เจอใครที่ชอบจริงๆ อาการเหล่านี้มักไม่เคยเกิดกับเราเลบเป็นเพราะอะไรหว่า

Friday, September 21, 2007

Shepherd Boy Coffee Shop

วันนี้เป็นวันธรรมดาอีกวันที่ผมมานั่งร้านกาแฟร้านโปรดเช่นเคย ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาเตรียมบทเรียนเพื่อที่จะต้องออกไปพูด แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมก็ยังคิดไม่ออกว่าผมควรจะพูดอะไรดี ผมมีความรู้สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ไม่ต้องทำรายงาน ไม่ต้องอ่านหนังสือ เพราะว่า พึ่งสอบเสร็จควอเตอร์ที่สามของปีนี้ ซึ่งเป็นควอเตอร์ที่ยากสำหรับผม เพราะอาการปวดหลังของผมกำเริบขึ้นและหนักกว่าที่เคยเป็น ผมไปหาหมอกายภาพมาสองครั้ง แล้ว ตามความเป็นจริงแล้วผมก็ไม่ควรไปหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าถ้าไปมันก็เหมือนเดิม เพราะทั้งชีวิตผมก็ผ่านการกายภาพมาเยอะแล้วและก็รู้ว่าควรทำอย่างไรมันถึงจะหาย แต่ว่าเหตุผลที่ไปก็อยากให้หมอกายภาพมานวดหลังให้ผ่อนคลายเท่านั้นเอง แต่ก็ผิดหวังเพราะเขาไม่ได้นวดให้อย่างที่คิด เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงเมืองไทยจัง อยากไปนั่งนวดหลังสัก สองชั่วโมง ที่ถนนคนเดิน เป็นความสุขที่บอกไม่ถูก

กลับมาที่เรื่องร้านกาแฟต่อ ผมมีความฝันที่อยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆสักร้าน ที่เชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ตัวเองชอบกาแฟ แต่ไม่มีความรู้เรื่องกาแฟเลย เพราะเข้าร้านกาแฟทีไรก็สั่งแต่ Caramel Frappuccino หรือไม่ก็ White Chocolate Mocha ทุกที ไม่เคยสั่งอย่างอื่น ไม่รู้ว่ารสชาดอื่นเป็นอย่างไร และด้วยความที่ผมเรียนจบทางด้านคอมมา ก็อยากใช้ความรู้ที่มีเปิดร้านกาแฟที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควบคู่กันไป จริงๆแล้วมันก็เป็นความฝันของคนคนหนึ่งที่ไม่ต้องการที่จะเป็นลูกจ้าง อยากจะเป็นนายตัวเอง เป็นเจ้าของกิจการร้านตัวเอง ผมว่า แบบนี้คงมีความสุขกว่ากันเยอะเลย และเนื่องจากผมกำลังศึกษาอยู่ที่นิวซีแลนด์ วันไหนที่ว่างๆผมก็จะพยายามตระเวนไปตามร้านกาแฟต่างๆ บางทีก็ไปเก็บข้อมูล ไปดูการตกแต่งของร้าน ว่าเป็นไงบ้าง ไปสังเกตุการณ์ลูกค้าว่าชอบสั่งอะไรกัน และสุดท้าย ไปหาเพื่อนคุย ผมนั่งคิดชื่อร้านกาแฟในฝันของผม “Shepherd Boy Coffee Shop” คงเป็นชื่อที่ผมคิดไว้ในตอนนี้ แต่ถ้านี่เป็นแผนงานของพระองค์ไม่แน่นะ เราอาจจะได้เห็นร้านกาแฟชื่อนี้ที่เชียงใหม่กัน

พูดถึงร้านกาแฟแล้วพูดถึงคนในร้านกาแฟกันดีกว่า จะว่าไปคนในร้านกาแฟมีทุกประเภท แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนชั้นกลางขึ้นไปที่พอจะมีเงินออกมาซื้อกาแฟนอกบ้านได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานบริษัทบ้าง เป็นพ่อบ้าน แม่บ้านบ้าง เป็น นักเรียน นักศึกษา เป็นคนยุคใหม่ที่ใช้ร้านกาแฟเป็นที่พบปะสังสรรค์กัน บรรยากาศภายในร้านกาแฟ มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ (แน่นอนว่าต้องมี) อารมณ์เศร้า อารมณ์ดีใจ อารมณ์เสียใจ และสุดท้าย อารมณ์เหงา
เขียนมาซะยาวเลย ผมบอกก็ได้ว่าผมจบเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป 555 แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่าผมรู้สึกมีความสุข ที่ได้เห็นผู้คน ได้มองคนอื่นด้วยสายตาที่บริสุทธิ์และจริงใจ เห็นรอยยิ้ม แค่นี้ก็ทำให้ผมเกือบที่จะหุบยิ้มไม่ลง

PS: ขอโทษทุกคนด้วยนะ ถ้าบทความนี้ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แหะๆๆ บางทีก็เหนื่อยที่จะคิด จะเขียนอะไรดีดีบ้างอ่ะ

Thursday, August 30, 2007

Faces and Stop Judging





นี่ถ้าแม่มาเห็น ผม ไว้หนวด เครารุงรังแบบนี้ กับทรงผม ที่ยาวที่สุด แม่คงตกใจว่า นี่ใช่ลูกฉันหรือเปล่าเนี่ย ผมเคยเขียนไว้ในบทความครั้งก่อนเรื่องที่ อยากเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งนั้น แต่อีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ผมไม่เคยไว้หนวดยาวๆแบบนี้ ก็อยากจะลองไว้ดูบ้าง ไม่เคยมีทรงผมยาวๆแบบนี้ ก็อยากลองมีบ้าง แต่เชื่อไหม ถ้าผมกลับเมืองไทย คนที่สนิทๆกับผม หรือน้องๆที่ผมรู้จัก จะทักทายว่า ไปตัดผมซะ ไปกวนหนวดซะ ผมมานั่งคิดดูถึงคำพูดต่างๆเหล่านี้ ผมมีความรู้สึกว่า คุณกำลังตัดสินคนจากภายนอกหรือเปล่าเอ่ย การที่ผมมีทรงผมที่รุงรัง หรือการที่ผมไว้หนวดเครายาวรุงรัง ใช่ว่าผมจะเป็นคนไม่ดีไม่ได้ การเป็นคนที่ดีไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่างภายนอกเลย แต่คนเรามักตัดสินไปซะก่อน มีอยู่วันหนึ่งที่ผมกำลังเรียนอยู่แล้วบังเอิญไปอ่านเจอข้อนี้เข้า แล้วรู้สึกชอบ อยากจะเอามาแบ่งปันกันให้ฟัง "Stop judging by external standards, and judge by true standards." John 7:24 ผมก็มีปัญหาบางครั้งในการมองคนแค่เพียงภายนอก แต่การที่เรายอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ผมเชื่อว่ามันจะทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนยิ่งขึ้น เรามองคนอื่นด้วยความรัก หรือเรามองคนอื่นด้วยความอิจฉา ริษยา หรือ มองด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มันคงจะดีนะ ถ้าเรามองคนอื่นเหมือนกับพระเยซูทรงมองเรา


Monday, August 27, 2007

เด็กเลี้ยงแกะเล่าเรื่อง คนตรงข้าม

วันนี้มีเรื่องเล่ามาเล่าสู่กันฟัง จริงๆแล้วก็ได้เวลานอนแล้วแหล่ะ แต่กลัวจะลืมซะก่อน ช่วงนี้ความจำสั้นซะด้วยสิ เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า มีเพื่อนนักเรียน ชื่อ บรู้ค ชวนไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านเขา บรู้คแต่งงานแล้วกับ ผู้หญิงที่ชื่อ เคลลี่ ทั้งสองพึ่งจะอายุ 23 ปีเอง แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ดี นอกจากบรู๊กกับเคลลี่แล้ว ทั้งคู่ก็ได้เชิญ อดัม กับ ไฮดี้ มารับประทานอาหารด้วยกัน อดัม กับไฮดี้ ก็เป็นคู่สามี ภรรยา ที่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่ปี ทั้งคู่อายุ ก็ไม่เกิน 27 พอถึงเวลารับประทานอาหาร เขาให้ผมนั่งตรงหัวโต๊ะ ส่วนพวกเขาก็นั่งเป็นคู่ ครั้งแรก ที่ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ผมนึกในใจว่า นี่เรามาทำไมหว่า แล้วคนตรงข้ามเราไปไหนหนอ แต่ไม่เป็นไร ไหนๆเขาก็เชิญเรามาแล้ว กินมันให้อิ่มไปเลยละกัน เคลลี่ทำอาหารฝรั่งได้อร่อยมาก บรู๊คบอกชื่ออาหารผมอยู่หลายรอบ แต่ผมก็จำไม่ได้สักที สิ่งหนึ่งที่ผมเห็น ในคู่สามีภรรยาทั้งสองคู่นี้ ทั้งสองคู่ ต่างกันโดยสิ้นเชิง เริ่มจากคู่แรก บรู๊ค กับ เคลลี่ เป็นคู่ วัยกระเตาะ เพราะอายุน้อยกว่า ประมาณว่ารักแบบกระหนุงกระหนิง ให้กำลังใจกันเสมอ ส่วนอีกคู่ เป็นมวยคู่ใหญ่ขึ้นมากอีกนิด อดัมกับไฮดี้ อดัมนั้นมักจะแหย่ภรรยาตัวเองอยู่เสมอๆ ผมเห็นแล้วก็ดูน่ารักไปอีกแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคู่นี้มีเหมือนกันคือ คำพูดที่รู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครพูดกระทบกระทั่งกัน จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้า ตรงกันข้าม กลับให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ส่วนผม ซึ่งเป็นบุคคลหัวโต๊ะ ก็ให้กำลังใจตัวเองไปก่อนละกัน

Saturday, August 25, 2007

HELLO and SMILE

I think it's time to write in english because this lesson will help everybody to say "HELLO" and "SMILE". Last week I had to lead devotional in the morning so I spent 2-3 nights for the lesson. I thought that I wanted to do something different from others. This lesson just came up when I was thinking about Thailand "The land of SMILE". I just think that yeah...people should smile more because most smile are started by another smile. If we smile to each other then the day is your.
Eddie: "HELLO" everybody!!! How are you doing?
I have two words to teach you today. These words have a powerful meaning if you know how to use it. The first one is "HELLO". It is a simple word and everyone know the meaning of it but we always use this word as a tradition.
Do you know that a simple "HELLO" can be a sweet one especailly the one we love or care? The word "HELLO" stands for

H: How are you doing?
E: Everything all right?
L: Love to hear from you
L: Love to see you soon
O: Obviously I miss YOU...So HELLO Good Day!


There are many times that God always says "HELLO" to us but we just ignore it. We make the expression of our faces uninviting. God says "HELLO" because he cares for us. He loves us so much so he wants to know how we are doing, is everything all right? Do you need help with something? Are you struggling with something? God also wants to hear from us by our prayers, reading scriptures and spend time alone with God. God also wants to see us soon of course in Heaven. Sin separated us from God so God can’t be in the darkness. God always wants us to come back because he misses us so much.
How do we response to the people who say “HELLO” to us? Do we smile? I remember that many times people said "HELLO" to me but I said nothing back or I did not even smile back to them. When is the expression of your face the most uninviting?
I remember every time I get up and open the door then I always see Cameron but I seldom say Hello and smile to him because I want to go the bathroom and wash my face. When we see each other often instead of saying “HELLO” but we “SMILE” and that means a lot because it a part of your greeting.

The unknown author says some interesting thing about “SMILE”

“A Smile is the lighting system of the face and the heating system of the heart”
“The world is like a mirror; Frown at it, and it frowns at you; smile at it and it smiles too”
Talking about smile, once there was a girl who taught me how to smile(ill talk about that later thou)
Do we make the expression of our faces uninviting? How many times in each day that we say “HELLO” to the people we know? Do we really say “HELLO” to the people and using all these things?

I want to leave the scriptures with you because "HELLO" and "SMILE" are part of greeting in the Bible. It means a lot for people who receive these two words.
Luke 1:44
“When the voice of your greeting came to my ears, the babe in my womb leaped for joy.”
I Thessalonians 5:26
“Greet all the brethren with a holy kiss.”
II Corinthians 13:12
“Greet one another with a holy kiss.”
III John 1:14-15
I hope to see you soon, and we will talk together face to face.Peace be to you. The friends greet you. Greet the friends, every one of them.
Of course the word “HELLO” and “SMILE” are part of your greeting and it’s easy to use but remember that use it with care and love.

I want to encourage everyone to say “HELLO” with love, show the people we talk to that we care for them, we love them, and ask them how are you doing? Everything all right?
Reference: soembody's email about "HELLO"

Wednesday, August 15, 2007

Work Week ตอน เหม่อลอย


สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แห่งการทำงาน ที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Work Week ส่วนตัวผมแล้วก่อนที่จะถึงสัปดาห์นี้รู้สึกดีใจเป็นพิเศษที่จะไม่มีเรียนตั้งหนึ่งอาทิตย์ แต่พอเริ่มการทำงานในวันแรก ความคิดที่อยากกลับไปเรียนก็เริ่มมีขึ้นมาทันที นั่นเป็นเพราะว่าในการทำงานวันแรกนั้นแทบไม่สบาย เอาซะเลย อาจจะเนื่องมาจากว่ามันทำให้ผมนั้นปวดหลังมากกว่าเดิมทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นก็ปวดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานวันแรกของผมก็คือการทาสีรั้วของโรงเรียนให้เสร็จ เราเริ่มทำงานกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวบวกกับแดดที่บางครั้งก็แรงจัด นี่ยังไม่รวมถึงเครื่องบินที่บินผ่านโรงเรียนทุกๆ 10 นาที นะ ผมมีความรู้สึกว่า ทุกทีเครื่องบินไม่เคยบินผ่านแถวนี้นี่นา แต่วันนี้มันเป็นอะไร เครื่องบินลำเดิมนั่นแหละ แต่บินผ่านได้ทั้งวัน แล้วบินต่ำเอามากๆ เหมือนกับว่า มันกำลังจะตกหรือยังไง ยังดีที่ผมมีไอพอดให้คลายเหงา เวลานั่งทาสีรั้ว ก็ฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย เพลงไหนโดนใจ ก็ร้องออกมาดังๆ ไม่สนใจคนที่อยู่รอบข้างหรอก เพราะบางทีเราร้องเพลงไทยบ้าง ฝรั่งบ้าง คละเคล้ากันไป พอผมทาสีมาถึงจุดๆหนึ่ง ด้วยความที่ผมเหม่อลอยไปชั่วขณะ ผมก็ทาสีไป ใจก็คิดเรื่องอื่นไป ปารกฎว่าพอมาดูอีกที อ้าว!!นี่เราไปทาสีโต๊ะกินข้าวของข้างบ้านนี่นา พอดีโต๊ะกินข้าวของข้างบ้าน ผูกมัดติดกับรั้วโรงเรียนอยู่ ผมก็นั่งดูสักพักแล้วก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้ ไอ้ความเหม่อลอยของเราเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ กลายเป็นว่าวันนั้นผมโดนเพื่อนๆแซวทั้งวัน คุณเคยเหม่อลอยบ้างหรือเปล่า? ผมว่าทุกคนก็ต้องเคยเหม่อลอยกันอยู่แล้ว แต่สำหรับผม ผมมีความรู้สึกว่าเหม่อลอยบ่อยมากๆ ยิ่งตอนอยู่ในห้องเรียน หรือว่าตอนขับรถคนเดียว เคยมีเหมือนกันกำลังขับรถอยู่ แล้วเกิดอาการเหม่อลอย หันไปมองนั่น มองนี่ แต่ไม่มองข้างหน้า รถก็เกือบเสียหลัก ไปชนสิ่งกีดขวางข้างหน้า แต่ผมว่าอาการเหม่อลอยก็ดีอยู่อย่างนะ มันทำให้เรารู้สึกจินตนาการได้กว้างไกลดี หรือว่าผมคิดไปคนเดียวก็ไม่รู้ ว่ากันว่าคนที่มีความรักยิ่งเหม่อลอยไปกันใหญ่ คิดแต่เรื่องคนรักของตัวเอง คิดนั่นคิดนี่ แต่สำหรับผม นี่ยังไม่มีคนรักนะ ก็เหม่อลอยไปได้ไกลเหมือนกัน แล้วถ้าเกิดว่ามีความรักกับเขาบ้างละ ไม่รู้ว่าจะเหม่อลอยไปได้ไกลแค่ไหนเนอะ

PS: พึ่งมารู้ว่า โต๊ะกินข้าวของบ้านตรงข้าม ที่ผมเหม่อลอย ไปทาสี ทิ้งไว้ โรงเรียนจะต้องซื้อโต๊ะใหม่ให้เขา เป็นเรื่องอีกล่ะ เอ็ดดี้ ตัวปัญหาจริงๆๆๆเลย 555

Thursday, August 09, 2007

Men's challenge 07


ระหว่างทางที่จะไปดูหิมะนั้น ผมมีความรู้สึกว่ามันสวยสะดุด จนผมอดทนไม่ไหวที่จะต้องคว้ากล้องมาถ่ายวิดิโอ แต่บังเอิญ กล้องถ่ายรูปเจ้ากรรม ที่ด้วยความเห่อของใหม่ ก่อนที่จะเดินทางมาดูหิมะนั้น ผมก็นั่งเล่นกล้องอยู่นานแสนนาน ตอนแรกกะว่าคงไม่ได้มาดูหรอก แต่ก็ได้อาจารย์ผู้ใจดีอาสาพามาดู พร้อมกับ ลุงโจ จากประเทศ ฟิจิ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของ ลุงโจเหมือนกัน ดูท่าทางแกตื่นเต้นเอามากๆ ซึ่งผิดกับผมที่มัวแต่อารมณ์เสียกับกล้องที่แบตเตอรี่กำลังจะหมด ผมจึงเก็บวิดิโอมาได้แค่นิดเดียว แต่ไม่เป็นไร ถ้าผมจำไม่ผิดผมจะได้มาที่นี่อีกครั้งปลายเดือนสิงหาคมนี้ กับกลุ่ม Young Adults ซึ่งจะจัดทริปมา เล่นสกีโดยเฉพาะ หวังว่าผมจะเก็บรูปมาฝากให้มากกว่านี้นะ

Monday, July 23, 2007

หนาวกาย หรือ หนาวใจ



วันนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยการรีบเร่ง ไม่ค่อยได้สังเกตุสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่ ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่อิดโรยจากการทำงานเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมไม่ได้ใส่เสื้อนอนเหมือนอย่างที่เคยเป็น ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ (ผมลืมไปว่า ผมวิ่งไม่ได้ ดังนั้น มันควรจะเป็น ผมรีบเดิน) ด้วยอากาศที่หนาว ก็เลยเปิดน้ำร้อน แปรงฟัน อาบน้ำ สระผม ภายในเวลาไม่กี่นาที ภายในห้องผมนั้นจะมี ฮีทเตอร์อยู่หนึ่งตัวพอให้คลายหนาวได้บ้าง ผมรีบแต่งตัวเพื่อที่จะไปโรงเรียน เมื่อผมเปิดประตูบ้าน ลมหนาวก็พัดผ่านเสื้อสองตัวของผมเข้าไปแทรกซึมอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ผมพยายามเดินเร็วๆเพื่อที่จะไปในห้องเรียนซึ่งอุ่นกว่า แต่ระหว่างทางที่ผมเดิน ผมเห็นน้ำแข็งเกาะอยู่ที่กระจกรถเต็มไปหมด ถึงแม้จะหนาวเพียงใด แต่ด้วยความที่เห่อกล้องถ่ายรูปใหม่ ผมรีบควักกล้องถ่ายรูปซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาถ่าย อุณหภูมิในวันนี้จะน่าจะอยู่ที่ศูนย์องศา
พูดถึงฤดูหนาว ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบฤดูหนาวมากๆ อาจจะเป็นเพราะตัวผมเองเกิดในฤดูหนาว หรืออาจเป็นเพราะพอถึงฤดูหนาวทีไรจำเป็นต้องหาเรื่องไปตั้งแคมป์ตามที่ต่างๆทุกที แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ถึงแม้ว่าผมจะชอบฤดูหนาว แต่พอมาเจอฤดูหนาวที่นิวซีแลนด์แล้ว ผมกลับเกลียดฤดูหนาวไปเลยทันที จะหาว่าผมหลายใจก็คงจะไม่ผิดนัก ฤดูหนาวที่นี่มันทรมานเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ยิ่งหนาวมากผมก็ยิ่งปวดขามากและเป็นเหน็บชามากขึ้น ว่ากันว่าความหนาวมักจะคู่กับความเหงา สำหรับผมความหนาวไม่เท่าไหร่แต่ความเหงานี่สิทรมานใจยิ่งกว่า เหงาเพราะไม่มีใครให้คุยด้วยเวลาหนาว สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือ ความหนาวซึ่งเป็นปัญหาภายนอกไม่สำคัญเท่ากับความเหงาซึ่งอยู่ภายใน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถจัดการกับปัญหาภายในใจของเราได้ เราจะไม่รู้สึกหนาวอีกเลย แต่ความอบอุ่นจะเข้ามาแทนที่

Wednesday, July 18, 2007

อยากเปลี่ยนแปลง

จริงๆแล้วมีเรื่องให้ทำเยอะแยะมากมายในวันนี้ ทั้งๆที่พึ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน แต่การบ้านและข้อสอบก็รอพร้อมให้เราทำอยู่แล้ว ผมคงจะทำอะไรไม่ได้ ถ้าผมไม่ได้เขียนบทความนี้ลงเพราะว่ามันวนเวียนอยู่ในสมองผมจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย
แน่นอนอยู่แล้วว่าเราซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟกต์อะไร แต่บางทีเรากลับคิดว่ามนุษย์ช่างวิเศษซะเหลือเกิน ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดอยู่เสมอว่าผมไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบย่อมทำอะไรที่ผิดพลาดได้เสมอ หลายครั้งในชีวิตที่ผมทำสิ่งที่ผิดพลาดและมักไม่สำนึกตัวเอง และยากที่จะให้อภัย ผมชื่นชมคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ให้เป็นคนที่ใช้การได้ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดแต่มีใจที่อยากเปลี่ยนแปลง ผมมีใจที่อยากเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ ผมจึงต้องพึ่งสติปัญญาและกำลังจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตัวเอง ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถามว่าเรามองคนที่กำลังเปลี่ยนแปลงยังไง เรามองเป็นเหมือนพี่น้องเราคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือ เรามองเขาเหมือนคนอื่นที่ไม่น่าให้อภัย ผมจะไม่ตอบคำถามนี้ แต่ให้เราลองถามใจตัวเองดู เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์นั้น อย่าตอบจนกระทั่งคุณกำลังตกอยู่ในสถาณการณ์นี้
อีกหนึ่งวันที่แย่ที่สุดของผม แต่ในสิ่งที่แย่นั้น ย่อมมีสิ่งที่ดีขึ้นตามมาเสมอ -ผมกำลังเปลี่ยนแปลง-

Wednesday, July 11, 2007

เรื่องเล่าของเด็กเลี้ยงแกะ ตอน ไข่นุ้ย

มีประสบการณ์มากมายที่ไม่เคยได้เล่าให้ฟัง แต่มักจะแอบเก็บไว้คนเดียว แต่คิดไปคิดมามันน่าจะเป็นเรื่องดีที่เราพบเจอเรื่องราวต่างๆแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง เหมือนกับเรื่องนี้ที่ผมก็พึ่งประสบมาเมื่อคืนวานนี้เอง เป็นเรื่องราวของ พี่ไข่นุ้ย ณ คาราบาว จริงๆแล้วผมแอบตั้งชื่อพี่เขาให้ดูเก๋ไก๋นะ แต่ชื่อจริงของเขาก็คือ พี่นุ้ย นั่นเอง หน้าตาของพี่นุ้ยหล่อเหลาเอาการ ไว้ทรงผมยาว และที่สำคัญ หน้าตาเขาเหมือนพี่แอ๊ดวงคาราบาวเอามากๆ แถมเขายังเล่นกีต้าร์ได้เก่งไม่แพ้กัน พี่นุ้ยเป็นคนไทยที่มาอยู่นิวซีแลนด์ได้สิบกว่าปีแล้ว เรียกได้ว่า เป็นคนที่นี่ไปแล้ว บัตรประชาชนเมืองไทยก็ยังไม่มีเลย ผมได้มีโอกาสรู้จักพี่นุ้ยก็เพราะ รู้จักจากพี่อีกคนที่เป็นคนไทยที่เป็นพ่อครัวร้านอาหารไทยที่นี่ ชื่อ พี่สมส่วน เมือคืนวานผมกับพี่สมส่วนได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านพี่นุ้ย และ ไปทำอาหารกินกัน บ้านของพี่นุ้ย ตามความรู้สึกผม ผมว่า สวยเอามากๆ เพราะเป็นบ้านที่อยู่บนเนินเขา และ จะเห็นวิวจากห้องนั่งเล่นทะลุออกไป เป็นทะเล บ้านเมืองต่างๆที่อยู่ด้านล่าง เรียกได้ว่า ถ้าใครมีโอกาสได้ขึ้นไปดอยสุเทพและมองลงมา บ้านพี่นุ้ยก็เหมือนแบบนั้นเลย ผมและพี่สมส่วนเตรียมอุปกรณ์ไปทำอาหารกัน ซึ่งผมก็เป็นลูกมือพี่สมส่วนอีกตามเคย ก็เรียนรู้อะไรเยอะแยะ จากพ่อครัวใหญ่ โรงแรม อมารี กรุงเทพ ซึ่งผันตัวเองมาเป็นพ่อครัวร้านอาหารไทยที่นิวซีแลนด์ อาหารมื้อนั้นคือ ผัดกระเพราลิ้นหมู และ ย่างลิ้นหมู สุดแสนจะอร่อย นานมาแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสอาหารเผ็ดถึงใจแบบนี้ ยิ่งกินแล้วก็นึกถึงอาหารที่บ้านเรา
พี่นุ้ยเป็นคนอัธยาศัยดี ผมเดาเอาว่า หลังจากที่พ่อเลี้ยงพี่นุ้ยซึ่งเป็นชาวนิวซีแลนด์เสีย ทั้งแม่พี่นุ้ยกับพี่นุ้ยก็ได้รับมรดกตกทอดซึ่งเป็นบ้านที่สวยงาม พี่นุ้ยเป็นคนเหนือ เป็นอดีตนักเลงเก่า ไม่มีภรรยาสักที อาศัยอยู่ในบ้านคนเดียว มีรายได้จากการทำงาน หักภาษีแล้ว 1500 เหรียญต่ออาทิตย์ ซึ่งผมฟังจากเขาเล่าอย่างมีความสุขแล้ว ผมอยากรู้จักคนคนนี้มากขึ้น
เรากินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย พี่นุ้ยกับพี่สมส่วนจิบไวน์ไปด้วย พร้อมกับดูหนัง Spiderman 3 ที่พี่สมส่วนเตรียมมา ส่วนผมก็ฟังพี่ทั้งสองคนต่างเล่าถึงความรู้ที่ตนเองมี ประมาณว่าเก็บข้อมูลไปในตัว และ สนุกกับการกินอาหารไทย เขาทั้งสองต่างเล่าเรื่อง ความขลังต่างๆของ เสือ ตะกรุด พระจตุคามรามเทพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับ ความขลัง และเล่าถึงความเป็นนักเลงของแต่ละคนในอดีตว่าเป็นยังไงบ้าง ผมก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะผมไม่มีประสบการณ์อะไรทำนองนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมนั่งคิดในใจก็คือ Are we the created or the creator? ผมรู้อยู่แล้วว่าเรานะ เป็นผู้ที่ถูกสร้างมา เราไม่ใช่ผู้สร้าง แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะหลงนึกไปว่าเรานะเป็นผู้สร้าง เรานะเป็นใหญ่ ทุกวันนี้เรากลับแสวงหาสิ่งที่จะทำให้เราเป็นใหญ่ แต่ทำไมเรากลับไม่แสวงหาสิ่งที่สร้างเราขึ้นมา
ผมรู้สึกสนุกกับสิ่งที่พี่ทั้งสองคนเล่า ไม่ใช่เพราะผมเชื่อในสิ่งที่เขาเล่าหรอกนะ แต่ผมสนุกเพราะผมได้พูดคุยกับคนไทย ได้ดูทีวีสดๆ ของไทย ผ่านทาง Sky TV ได้กินอาหารไทย สักพักพี่ไข่นุ้ยก็ถามผมว่า "น้องเอ็ดดี้สูบบุหรี่หรือเปล่า" ผมก็ตอบว่า "ไม่ครับ ผมไม่สูบ" พี่เขาก็บอกว่า ดีมากๆ สักพัก พี่นุ้ยก็เดินไปหลังบ้าน พร้อมกับนำ ขวดน้ำเล็กๆ เจาะรูด้านข้าง พร้อมกับ บ้องไม้ไผ่เล็กๆ ติดอยู่ มาให้ผมกับพี่สมส่วนดู ซึ่งมันก็คือ บ้องกัญชานั่นเอง จากนั้นเขาก็เล่าต่อว่า กฎหมายที่นิวซีแลนด์ อนุญาติให้ปลูกกัญชาได้ บ้านละ ไม่เกินสองต้นเท่านั้น และสามารถมีกัญชาได้ตามที่เขาจำกัด แต่ห้ามขายไม่งั้นจะผิดกฎหมาย พี่นุ้ยเขาให้เหตุผลว่า เขาสูบกัญชา วันละครั้งเพื่อให้ อาการปวดหลังของเขา บรรเทาลง ผมก็นั่งนึกในใจ ผมนะปวดหลังทุกวันและมากกว่าพี่ซะอีก แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้กัญชาเลย จริงๆแล้วกัญชาเป็นพืชที่คนในอดีตเอามาใช้ทำอาหาร ทำก๋วยเตี๋ยว แต่พักหลังๆ คนส่วนใหญ่ใช้เกินขนาดจนกลายเป็นยาเสพติดไป จากนั้นพี่นุ้ยก็จุดไฟที่บ้องไม่ไผ่ แล้วเป่าลมที่ปากขวด และสูดลมเข้าไปในปอด และพ่นควันออกมา ถามว่าผมรู้สึกยังไง ณ ตอนนั้น ผมไม่เคยเห็นคนสูบกัญชามาก่อน ผมก็ไม่รู้มันเป็นยังไงเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นนี่แหละ พี่สมส่วนในฐานะนักเลงเก่า เห็นแล้วก็อยากลองดูบ้าง ผมนั่งนึกในใจว่า ผมสงสารคนเหล่านี้ ขึ้นชื่อว่ายาเสพติดอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น ถึงแม้ว่ามันจะถูกกฎหมายก็เถอะ แต่เราไม่สามารถไปควบคุมชีวิตของเขาได้ ผมไม่ได้สะอิดสะเอียน หรือรังเกียจพี่ๆแม้แต่น้อย แต่ผมกลับสงสาร อยากให้พี่ทั้งสองคนมารู้จักกับผู้สร้างที่แท้จริงดีกว่าแสวงความสุขชั่วครั้งชั่วคราวและไม่นิรันดร์ เรื่องเล่าของพี่ไข่นุ้ยอาจจะมีแค่นี้ แต่ประสบการณ์ที่พระเจ้ากำลังสอนผมได้เริ่มต้นขึ้นอีกหนึ่งหน้าแล้ว จริงๆแล้วมีอีกเรื่องที่ ถ้าผมเล่าไปแล้ว หลายคนอาจจะรับไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ "We don't belong to the world" ดังนั้นขอไม่เล่าจะดีกว่านะครับ เรื่องราวต่างๆไม่ได้จบเพียงเท่านี้แน่นอน เพราะมีสิ่งดีดีเกิดขึ้นมากมายที่ผมพร้อมจะเล่าให้ฟังในครั้งต่อไป