Friday, September 21, 2007

Shepherd Boy Coffee Shop

วันนี้เป็นวันธรรมดาอีกวันที่ผมมานั่งร้านกาแฟร้านโปรดเช่นเคย ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาเตรียมบทเรียนเพื่อที่จะต้องออกไปพูด แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมก็ยังคิดไม่ออกว่าผมควรจะพูดอะไรดี ผมมีความรู้สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ไม่ต้องทำรายงาน ไม่ต้องอ่านหนังสือ เพราะว่า พึ่งสอบเสร็จควอเตอร์ที่สามของปีนี้ ซึ่งเป็นควอเตอร์ที่ยากสำหรับผม เพราะอาการปวดหลังของผมกำเริบขึ้นและหนักกว่าที่เคยเป็น ผมไปหาหมอกายภาพมาสองครั้ง แล้ว ตามความเป็นจริงแล้วผมก็ไม่ควรไปหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าถ้าไปมันก็เหมือนเดิม เพราะทั้งชีวิตผมก็ผ่านการกายภาพมาเยอะแล้วและก็รู้ว่าควรทำอย่างไรมันถึงจะหาย แต่ว่าเหตุผลที่ไปก็อยากให้หมอกายภาพมานวดหลังให้ผ่อนคลายเท่านั้นเอง แต่ก็ผิดหวังเพราะเขาไม่ได้นวดให้อย่างที่คิด เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงเมืองไทยจัง อยากไปนั่งนวดหลังสัก สองชั่วโมง ที่ถนนคนเดิน เป็นความสุขที่บอกไม่ถูก

กลับมาที่เรื่องร้านกาแฟต่อ ผมมีความฝันที่อยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆสักร้าน ที่เชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ตัวเองชอบกาแฟ แต่ไม่มีความรู้เรื่องกาแฟเลย เพราะเข้าร้านกาแฟทีไรก็สั่งแต่ Caramel Frappuccino หรือไม่ก็ White Chocolate Mocha ทุกที ไม่เคยสั่งอย่างอื่น ไม่รู้ว่ารสชาดอื่นเป็นอย่างไร และด้วยความที่ผมเรียนจบทางด้านคอมมา ก็อยากใช้ความรู้ที่มีเปิดร้านกาแฟที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควบคู่กันไป จริงๆแล้วมันก็เป็นความฝันของคนคนหนึ่งที่ไม่ต้องการที่จะเป็นลูกจ้าง อยากจะเป็นนายตัวเอง เป็นเจ้าของกิจการร้านตัวเอง ผมว่า แบบนี้คงมีความสุขกว่ากันเยอะเลย และเนื่องจากผมกำลังศึกษาอยู่ที่นิวซีแลนด์ วันไหนที่ว่างๆผมก็จะพยายามตระเวนไปตามร้านกาแฟต่างๆ บางทีก็ไปเก็บข้อมูล ไปดูการตกแต่งของร้าน ว่าเป็นไงบ้าง ไปสังเกตุการณ์ลูกค้าว่าชอบสั่งอะไรกัน และสุดท้าย ไปหาเพื่อนคุย ผมนั่งคิดชื่อร้านกาแฟในฝันของผม “Shepherd Boy Coffee Shop” คงเป็นชื่อที่ผมคิดไว้ในตอนนี้ แต่ถ้านี่เป็นแผนงานของพระองค์ไม่แน่นะ เราอาจจะได้เห็นร้านกาแฟชื่อนี้ที่เชียงใหม่กัน

พูดถึงร้านกาแฟแล้วพูดถึงคนในร้านกาแฟกันดีกว่า จะว่าไปคนในร้านกาแฟมีทุกประเภท แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนชั้นกลางขึ้นไปที่พอจะมีเงินออกมาซื้อกาแฟนอกบ้านได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานบริษัทบ้าง เป็นพ่อบ้าน แม่บ้านบ้าง เป็น นักเรียน นักศึกษา เป็นคนยุคใหม่ที่ใช้ร้านกาแฟเป็นที่พบปะสังสรรค์กัน บรรยากาศภายในร้านกาแฟ มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ (แน่นอนว่าต้องมี) อารมณ์เศร้า อารมณ์ดีใจ อารมณ์เสียใจ และสุดท้าย อารมณ์เหงา
เขียนมาซะยาวเลย ผมบอกก็ได้ว่าผมจบเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป 555 แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่าผมรู้สึกมีความสุข ที่ได้เห็นผู้คน ได้มองคนอื่นด้วยสายตาที่บริสุทธิ์และจริงใจ เห็นรอยยิ้ม แค่นี้ก็ทำให้ผมเกือบที่จะหุบยิ้มไม่ลง

PS: ขอโทษทุกคนด้วยนะ ถ้าบทความนี้ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แหะๆๆ บางทีก็เหนื่อยที่จะคิด จะเขียนอะไรดีดีบ้างอ่ะ

No comments: