Wednesday, July 11, 2007

เรื่องเล่าของเด็กเลี้ยงแกะ ตอน ไข่นุ้ย

มีประสบการณ์มากมายที่ไม่เคยได้เล่าให้ฟัง แต่มักจะแอบเก็บไว้คนเดียว แต่คิดไปคิดมามันน่าจะเป็นเรื่องดีที่เราพบเจอเรื่องราวต่างๆแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง เหมือนกับเรื่องนี้ที่ผมก็พึ่งประสบมาเมื่อคืนวานนี้เอง เป็นเรื่องราวของ พี่ไข่นุ้ย ณ คาราบาว จริงๆแล้วผมแอบตั้งชื่อพี่เขาให้ดูเก๋ไก๋นะ แต่ชื่อจริงของเขาก็คือ พี่นุ้ย นั่นเอง หน้าตาของพี่นุ้ยหล่อเหลาเอาการ ไว้ทรงผมยาว และที่สำคัญ หน้าตาเขาเหมือนพี่แอ๊ดวงคาราบาวเอามากๆ แถมเขายังเล่นกีต้าร์ได้เก่งไม่แพ้กัน พี่นุ้ยเป็นคนไทยที่มาอยู่นิวซีแลนด์ได้สิบกว่าปีแล้ว เรียกได้ว่า เป็นคนที่นี่ไปแล้ว บัตรประชาชนเมืองไทยก็ยังไม่มีเลย ผมได้มีโอกาสรู้จักพี่นุ้ยก็เพราะ รู้จักจากพี่อีกคนที่เป็นคนไทยที่เป็นพ่อครัวร้านอาหารไทยที่นี่ ชื่อ พี่สมส่วน เมือคืนวานผมกับพี่สมส่วนได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านพี่นุ้ย และ ไปทำอาหารกินกัน บ้านของพี่นุ้ย ตามความรู้สึกผม ผมว่า สวยเอามากๆ เพราะเป็นบ้านที่อยู่บนเนินเขา และ จะเห็นวิวจากห้องนั่งเล่นทะลุออกไป เป็นทะเล บ้านเมืองต่างๆที่อยู่ด้านล่าง เรียกได้ว่า ถ้าใครมีโอกาสได้ขึ้นไปดอยสุเทพและมองลงมา บ้านพี่นุ้ยก็เหมือนแบบนั้นเลย ผมและพี่สมส่วนเตรียมอุปกรณ์ไปทำอาหารกัน ซึ่งผมก็เป็นลูกมือพี่สมส่วนอีกตามเคย ก็เรียนรู้อะไรเยอะแยะ จากพ่อครัวใหญ่ โรงแรม อมารี กรุงเทพ ซึ่งผันตัวเองมาเป็นพ่อครัวร้านอาหารไทยที่นิวซีแลนด์ อาหารมื้อนั้นคือ ผัดกระเพราลิ้นหมู และ ย่างลิ้นหมู สุดแสนจะอร่อย นานมาแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสอาหารเผ็ดถึงใจแบบนี้ ยิ่งกินแล้วก็นึกถึงอาหารที่บ้านเรา
พี่นุ้ยเป็นคนอัธยาศัยดี ผมเดาเอาว่า หลังจากที่พ่อเลี้ยงพี่นุ้ยซึ่งเป็นชาวนิวซีแลนด์เสีย ทั้งแม่พี่นุ้ยกับพี่นุ้ยก็ได้รับมรดกตกทอดซึ่งเป็นบ้านที่สวยงาม พี่นุ้ยเป็นคนเหนือ เป็นอดีตนักเลงเก่า ไม่มีภรรยาสักที อาศัยอยู่ในบ้านคนเดียว มีรายได้จากการทำงาน หักภาษีแล้ว 1500 เหรียญต่ออาทิตย์ ซึ่งผมฟังจากเขาเล่าอย่างมีความสุขแล้ว ผมอยากรู้จักคนคนนี้มากขึ้น
เรากินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย พี่นุ้ยกับพี่สมส่วนจิบไวน์ไปด้วย พร้อมกับดูหนัง Spiderman 3 ที่พี่สมส่วนเตรียมมา ส่วนผมก็ฟังพี่ทั้งสองคนต่างเล่าถึงความรู้ที่ตนเองมี ประมาณว่าเก็บข้อมูลไปในตัว และ สนุกกับการกินอาหารไทย เขาทั้งสองต่างเล่าเรื่อง ความขลังต่างๆของ เสือ ตะกรุด พระจตุคามรามเทพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับ ความขลัง และเล่าถึงความเป็นนักเลงของแต่ละคนในอดีตว่าเป็นยังไงบ้าง ผมก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะผมไม่มีประสบการณ์อะไรทำนองนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมนั่งคิดในใจก็คือ Are we the created or the creator? ผมรู้อยู่แล้วว่าเรานะ เป็นผู้ที่ถูกสร้างมา เราไม่ใช่ผู้สร้าง แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะหลงนึกไปว่าเรานะเป็นผู้สร้าง เรานะเป็นใหญ่ ทุกวันนี้เรากลับแสวงหาสิ่งที่จะทำให้เราเป็นใหญ่ แต่ทำไมเรากลับไม่แสวงหาสิ่งที่สร้างเราขึ้นมา
ผมรู้สึกสนุกกับสิ่งที่พี่ทั้งสองคนเล่า ไม่ใช่เพราะผมเชื่อในสิ่งที่เขาเล่าหรอกนะ แต่ผมสนุกเพราะผมได้พูดคุยกับคนไทย ได้ดูทีวีสดๆ ของไทย ผ่านทาง Sky TV ได้กินอาหารไทย สักพักพี่ไข่นุ้ยก็ถามผมว่า "น้องเอ็ดดี้สูบบุหรี่หรือเปล่า" ผมก็ตอบว่า "ไม่ครับ ผมไม่สูบ" พี่เขาก็บอกว่า ดีมากๆ สักพัก พี่นุ้ยก็เดินไปหลังบ้าน พร้อมกับนำ ขวดน้ำเล็กๆ เจาะรูด้านข้าง พร้อมกับ บ้องไม้ไผ่เล็กๆ ติดอยู่ มาให้ผมกับพี่สมส่วนดู ซึ่งมันก็คือ บ้องกัญชานั่นเอง จากนั้นเขาก็เล่าต่อว่า กฎหมายที่นิวซีแลนด์ อนุญาติให้ปลูกกัญชาได้ บ้านละ ไม่เกินสองต้นเท่านั้น และสามารถมีกัญชาได้ตามที่เขาจำกัด แต่ห้ามขายไม่งั้นจะผิดกฎหมาย พี่นุ้ยเขาให้เหตุผลว่า เขาสูบกัญชา วันละครั้งเพื่อให้ อาการปวดหลังของเขา บรรเทาลง ผมก็นั่งนึกในใจ ผมนะปวดหลังทุกวันและมากกว่าพี่ซะอีก แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้กัญชาเลย จริงๆแล้วกัญชาเป็นพืชที่คนในอดีตเอามาใช้ทำอาหาร ทำก๋วยเตี๋ยว แต่พักหลังๆ คนส่วนใหญ่ใช้เกินขนาดจนกลายเป็นยาเสพติดไป จากนั้นพี่นุ้ยก็จุดไฟที่บ้องไม่ไผ่ แล้วเป่าลมที่ปากขวด และสูดลมเข้าไปในปอด และพ่นควันออกมา ถามว่าผมรู้สึกยังไง ณ ตอนนั้น ผมไม่เคยเห็นคนสูบกัญชามาก่อน ผมก็ไม่รู้มันเป็นยังไงเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นนี่แหละ พี่สมส่วนในฐานะนักเลงเก่า เห็นแล้วก็อยากลองดูบ้าง ผมนั่งนึกในใจว่า ผมสงสารคนเหล่านี้ ขึ้นชื่อว่ายาเสพติดอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น ถึงแม้ว่ามันจะถูกกฎหมายก็เถอะ แต่เราไม่สามารถไปควบคุมชีวิตของเขาได้ ผมไม่ได้สะอิดสะเอียน หรือรังเกียจพี่ๆแม้แต่น้อย แต่ผมกลับสงสาร อยากให้พี่ทั้งสองคนมารู้จักกับผู้สร้างที่แท้จริงดีกว่าแสวงความสุขชั่วครั้งชั่วคราวและไม่นิรันดร์ เรื่องเล่าของพี่ไข่นุ้ยอาจจะมีแค่นี้ แต่ประสบการณ์ที่พระเจ้ากำลังสอนผมได้เริ่มต้นขึ้นอีกหนึ่งหน้าแล้ว จริงๆแล้วมีอีกเรื่องที่ ถ้าผมเล่าไปแล้ว หลายคนอาจจะรับไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ "We don't belong to the world" ดังนั้นขอไม่เล่าจะดีกว่านะครับ เรื่องราวต่างๆไม่ได้จบเพียงเท่านี้แน่นอน เพราะมีสิ่งดีดีเกิดขึ้นมากมายที่ผมพร้อมจะเล่าให้ฟังในครั้งต่อไป

No comments: